14 พ.ย. 2568 | 177
เขียนโดย สิรสิทธิ์ ตติยภัณฑรักษ์ [#RETAILman | #RETAILmanX]
เครือข่ายเสียงจากป่า ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ได้จัดเสวนา “ปลาหมอคางดำ...พระเอกหรือผู้ร้าย” เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ณ ห้องแกรนด์บอลรูม 1 โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ ถนนรัชดาภิเษก โดยเป็นเสวนาเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับปลาหมอคางดำที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์สายพันธุ์เอเลี่ยนสปีชีส์อันตราย

ทั้งนี้ ภายในงานเสวนาได้รับเกียรติจาก ดร.ชัยภัฏ จันทร์วิไล ประธานเครือข่าย เครือข่ายเสียงจากป่า, ดร.ชวลิต วิทยานนท์ กรรมการวิชาการ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร, คุณทิวารัตน์ เฉลิมเกียรติลีลา ผู้เชี่ยวชาญด้านความหลากหลายทางชีวภาพด้านการประมงน้ำจืด กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, ดร.องอาจ เลาหวินิจ อดีตรองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน, ดร.สรสัณห์ อาภาภิรม ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่า และนักอนุรักษ์ธรรมชาติแบบเหตุผลนิยม ร่วมกันพูดคุยบนเวทีเสวนาเพื่อเปิดมุมมองและให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปลาหมอคางดำให้กับผู้เข้าร่วมงานในครั้งนี้

ดร.ชัยภัฏ จันทร์วิไล ประธานเครือข่าย เครือข่ายเสียงจากป่า กล่าวว่า “การจัดงานเสวนาในวันนี้ที่ทางเครือข่ายเสียงจากป่าจัดขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ และระบุประเด็นสำคัญเรื่องการใช้งบประมาณภาครัฐในการจัดการสัตว์ต่างถิ่นที่อาจไม่เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงการควบคุมการลักลอบนำเข้าสัตว์น้ำที่ต้องการให้เกิดการตรวจสอบและลดการใช้งบประมาณภาครัฐ”
“ปัจจุบันอิทธิพลของข้อมูลข่าวสารทางโซเชียลมีเดียมีผลต่อความเชื่อของประชาชน โดยหลายครั้งการรับข้อมูลไม่ครบถ้วน และทำให้เกิดความเข้าใจผิด จากการศึกษาของทางเครือข่ายเสียงจากป่าได้รู้ว่า สัตว์สายพันธุ์เอเลี่ยนสปีชีส์ที่นำเข้ามาในเมืองไทยส่วนใหญ่ถูกนำเข้ามาใช้ประโยชน์ และในวันนี้จากการศึกษาพบแล้วว่าปลาหมอคางดำไม่ใช่เชื้อโรค แต่สามารถนำปลาชนิดนี้มาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ ดังนั้น สังคมควรใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ในการตัดสิน โดยเฉพาะในประเด็นปลาชนิดนี้เป็น ‘ปลานักล่า’ อย่างที่เข้าใจกันในตอนแรกที่ถูกค้นพบและลงข่าวตามสื่อต่างๆ ในประเทศไทยหรือไม่”
“ที่สำคัญปลาชนิดนี้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในแหล่งน้ำสภาพ ‘เน่าเสีย’ ได้ โดยพบว่าประเทศไทยมีแหล่งน้ำเสื่อมโทรมมากมาย จึงควรหาวิธีใช้ประโยชน์จากปลาชนิดนี้ที่สามารถมีชีวิตในสภาพแวดล้อมดังกล่าวได้ และอยากเรียกร้องให้สังคมตระหนักและมอบความยุติธรรมให้กับปลาหมอคางดำ ซึ่งตามจริงแล้วผู้ที่ทำลายสิ่งแวดล้อมตัวจริงนั้นไม่ใช่สัตว์ แต่คือมนุษย์ต่างหาก มนุษย์ทุกคนต่างหากที่ต้องช่วยกันฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ฟื้นฟูแหล่งน้ำให้สะอาด”

ดร.องอาจ เลาหวินิจ อดีตรองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน กล่าวว่า “ปัญหาการลักลอบนำเข้าสัตว์ต่างถิ่นหรือสัตว์สายพันธุ์เอเลี่ยนสปีชีส์มีมานานแล้ว แต่คนไทยควรเปลี่ยนจากการหาแหล่งที่มาหรือใครเป็นคนมาปล่อย กลับมาเป็นการนำพวกนี้มาใช้ประโยชน์ จากความคิดเห็นส่วนตัวมองว่าปลาหมอคางดำเป็นประโยชน์มากกว่าโทษ เพราะสามารถนำมาเป็นอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประชาชนคนไทยทุกคนได้ เนื่องจากขยายพันธุ์เร็ว และสามารถมีชีวิตอยู่ในแหล่งน้ำได้ทุกสภาพลักษณะ จึงทำให้ต้นทุนค่อนข้างต่ำมาก ส่งผลให้สามารถขายในราคาต่ำ ทุกคนสามารถเข้าถึงแหล่งโปรตีนนี้ได้ง่ายกว่าปลาชนิดอื่น แม้แต่ปลานิลพระราชทานแต่เดิมก็เป็นปลาต่างถิ่น ซึ่งถือเป็นสัตว์สายพันธุ์เอเลี่ยนสปีชีส์เช่นกัน แต่คนไทยก็เพาะพันธุ์, ซื้อหา, และบริโภคกันตามปกติ”

ภายในงานเสวนายังมีประเด็นอันเกี่ยวเนื่องถึงประโยชน์ของปลาหมอคางคำ อาทิ;
• มีประโยชน์ในการกู้ระบบนิเวศ - ด้วยปลาหมอคางดำสามารถอาศัยและเติบโตในสภาพแหล่งน้ำเสื่อมโทรมได้ ซึ่งปลาชนิดอื่นอยู่อาศัยไม่ได้ และปลาหมอคางคำยังช่วยกินขยะและของเสียที่ตกค้างตามแหล่งน้ำตามธรรมชาติได้ ทำให้สภาวะค่าออกซิเจนในน้ำของแหล่งน้ำบริเวณนั้นดีขึ้น
• ต้นทุนการเพาะเลี้ยงต่ำ - โดยปลาหมอคางดำสามารถเลี้ยงในบ่อกุ้งร้างหรือภายในแหล่งเพาะเลี้ยงที่มีสภาวะคาร์บอนต่ำได้

• เป็นแหล่งวัตถุดิบทดแทนอาหารสัตว์ประเภทอื่น - ด้วยการนำปลาหมอคางดำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์เพื่อทดแทนอาหารสัตว์ประเภทอื่นอย่างปลาป่น เนื่องจากมีต้นทุนการเพาะเลี้ยงที่ต่ำใกล้เคียงกัน
• สร้างความมั่นคงทางอาหารให้ประชาชนทุกคนในประเทศ - ด้วยราคาต้นทุนเพาะเลี้ยงและราคาขายต่อกิโลกรัมค่อนข้างต่ำ จึงสามารถใช้ปลาหมอคางดำเป็นแหล่งโปรตีนราคาถูกสำหรับผู้มีรายได้น้อย จากผลวิจัยพบว่าเนื้อปลาหมอคางดำมีคุณค่าทางอาหารสูง ซึ่งมีกรดอะมิโนที่จำเป็น, วิตามิน, และสังกะสี โดยมีตัวอย่างจากประเทศฟิลิปปินส์ที่เผชิญปัญหาปลาหมอคางดำเช่นกันและได้นำมาช่วยแก้ปัญหาความอดอยากของผู้มีรายได้น้อยภายในประเทศ

สำหรับแนวทางในการควบคุมและแก้ปัญหาการแพร่พันธุ์ไปยังแหล่งน้ำดีอื่นๆ นั้น ได้มีการแนะนำให้เปลี่ยนมายด์เซ็ตความคิดการทำงานของภาครัฐและประชาชน แทนที่จะทุ่มงบประมาณจำนวนมากในการหาวิธีกำจัดอย่างการช๊อตให้ปลาตาย ซึ่งเป็นวิธีอันตรายทั้งต่อผู้ปฏิบัติหน้าที่ช๊อตปลา และยังอันตรายต่อสัตว์อื่นในสิ่งแวดล้อมบริเวณนั้นด้วย ให้เปลี่ยนแทนที่ด้วยการส่งเสริมให้ชาวบ้านจับและนำไปแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ตั้งแต่การนำไปทำน้ำปลา, ปลาแดดเดียว, ปลาร้า, ไปจนถึงนำมาเป็นส่วนประกอบวัตถุดิบในการปรุงอาหาร อาทิ; ทอดมันปลา, ห่อหมกปลา, ลูกชิ้นปลา, ปลาทิพย์ เป็นต้น เหมือนกรณีประเทศไทยเคยทำสำเร็จมาแล้วจากกรณีปัญหาหอยเชอรี่และตั๊กแตนปาทังก้าระบาด

ดร.องอาจ ยังได้กล่าวต่อว่า “ปลาหมอคางดำราคาไม่ถึง 10 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ปลานิลราคา 30-40 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งที่คุณค่าทางอาหารของปลาทั้งสองชนิดไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย ดังนั้นภาครัฐจำเป็นต้องจัดอบรมและเผยแพร่องค์ความรู้ทั้งแง่บวกและแง่ลบของปลาหมอคางดำให้มาก แล้วให้ผู้บริโภคคนไทยทุกคนเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะเลือกบริโภคอะไร ซึ่งอาจจะกลายเป็นว่าจากที่เคยมองว่าปลาหมอคางดำเป็น ‘ภัยคุกคาม’ อาจจะกลายเป็น ‘โอกาสทางเศรษฐกิจ’ และความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทยในอนาคตก็เป็นได้”
19 พ.ย. 2568
เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล คว้า 2 รางวัลด้านทรัพยากรมนุษย์ “PMAT HR Award 2025” ย้ำถึงการบริหารคนด้วยหัวใจ พร้อมพัฒนาศักยภาพคนอย่างเข้าใจ
21 พ.ย. 2568
BioActive+ เขย่าวงการความงาม เปิดตัว "Concentrated Liquid KERA เคราตินกินได้ครั้งแรกของไทย ตอกย้ำ "ความงามเริ่มต้นจากภายใน"
21 พ.ย. 2568
“ฟาติมา” สาวงามจาก เม็กซิโกคว้ามงกุฎ Miss Universe 2025 “วีนา” ตำแหน่ง รองอันดับ 1 ท่ามกลางแฟนนางงามทั่วโลกลุ้นเดือด
19 พ.ย. 2568
กระทรวงมหาดไทยดึงทัพดีไซเนอร์, บรรณาธิการ, และกูรูแฟชั่นระดับโลก ร่วมถอดรหัสผ้าครามไทยสู่เวทีโลก 19-22 พ.ย.’68 นี้ที่เอ็มสเฟียร์